รักษาหลุมสิวให้ผิวเนียนกริบ ด้วย 11 วิธีรักษาแบบละเอียด

หลุมสิว รักษายังไงก็ไม่หายเสียที หลุมสิวเป็นปัญหาผิวหน้าที่มักเกิดหลังจากสิวอักเสบ โดยบางครั้งเมื่อสิวอักเสบแล้ว อาจทิ้งร่องรอยหลุมสิวทำให้ผิวหน้ามีรอยและความไม่เรียบเนียน
00
mins read
Articles on Skin
รักษาหลุมสิวให้ผิวเนียนกริบ ด้วย 11 วิธีรักษาแบบละเอียด

หลุมสิว รักษายังไงก็ไม่หายเสียที หลุมสิวเป็นปัญหาผิวหน้าที่มักเกิดหลังจากสิวอักเสบ โดยบางครั้งเมื่อสิวอักเสบแล้ว อาจทิ้งร่องรอยหลุมสิวทำให้ผิวหน้ามีรอยและความไม่เรียบเนียน ส่งผลต่อความมั่นใจ ดังนั้น ควรหาวิธีการรักษาและป้องกันหลุมสิวเพื่อลดโอกาสในการเกิดปัญหานี้ในอนาคต

หลุมสิวคืออะไรและเกิดจากอะไร?

หลุมสิว คือ ผลจากการสิวที่มีการอักเสบและอาจเกิดเป็นสิวที่อุดตัน หลังจากสิวหายไปแล้ว ปกติผิวหน้าจะมีกระบวนการซ่อมแซมเพื่อให้ผิวเนียนเช่นเดิม โดยกระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน แต่หากมีอาการอักเสบรุนแรง อาจทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ผิวเกิดการยุบตัวลง การสร้างคอลลาเจนใหม่อาจไม่เพียงพอเท่ากับคอลลาเจนที่สูญเสียไปขณะเป็นสิว ส่งผลให้เซลล์เนื้อเยื่อมีการหดตัว สร้างรอยแผลหรือหลุมจากสิวได้

สาเหตุหลุมสิวส่วนใหญ่เกิดจากสิวที่รุนแรงหรือสิวที่มีรอยแผล พบได้ในประมาณ 22% ของผู้ที่เคยเป็นสิว สิวที่รุนแรงทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบรุนแรงในชั้นหนังแท้ และมีการตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรียชื่อ P.acnes ซึ่งอาจทำให้คอลลาเจนและเนื้อเยื่อรอบรอยแผลหรือหลุมสิวถูกทำลาย สิวหัวช้างหรือสิวเม็ดใหญ่มักทิ้งรอยแผลเป็นในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดหลุมลึกและเป็นรอยผิดรูปได้ในภายหลัง

สิวแบบไหนที่ทำให้เกิดหลุมสิว?

สิวที่อาจกลายเป็นหลุมสิวได้มีลักษณะ ดังนี้

  • สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ มีขนาดใหญ่และมีหนองปนเลือดอยู่ภายในหัวสิว การรักษาสิวชนิดนี้อาจใช้เวลานานและต้องใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม
  • สิวอักเสบรุนแรงหรือสิวหัวหนอง มีการอักเสบเรื้อรังและมีหัวหนองปนอยู่ภายในสิว สิวชนิดนี้มักแสดงอาการบวมแดงและอักเสบ
  • สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการอักเสบรุนแรงในชั้นใต้ผิวหนัง สิวชนิดนี้มีขนาดใหญ่และอาจทำให้ผิวหน้าบวมแดงและระคายเคือง

สิวที่มีลักษณะเหล่านี้มักเป็นต้นเหตุที่ส่งผลให้เกิดหลุมสิวหรือรอยแผลหลุมสิวได้ในภายหลัง การรักษาสิวชนิดนี้อย่างเหมาะสมและทันท่วงทีจะสามารถลดโอกาสในการเกิดหลุมสิวได้

ประเภทของหลุมสิวมีอะไรบ้าง

หลุมสิวแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

1. ชนิด Ice Pick Scar:

  • หลุมสิวประเภท Ice Pick scar มีลักษณะเป็นหลุมลึก ปากแผลแคบ และมักมีขนาดไม่เกิน 2 มิลลิเมตร
  • สิวชนิดนี้มักเกิดจากการกดหรือบีบสิวอุดตันที่มีการอักเสบรุนแรง
  • การรักษาสิวชนิด Ice Pick ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากสิวกินเนื้อไปจนถึงชั้นรูขุมขนและทำลายคอลลาเจนลึกในผิวหนัง
  • การฟื้นฟูรอยหลุมสิวในกรณีนี้จำเป็นต้องใช้เวลานาน

2. ชนิด Box Scar:

  • หลุมสิวประเภท Box Scar มีลักษณะเป็นบ่อ มีขนาดกว้างและขอบชัดเจน
  • ลึกประมาณ 3-5 มิลลิเมตร มีขนาดใหญ่กว่าหลุมสิวประเภท Ice Pick scar
  • สิวชนิดนี้มักมีความรุนแรงปานกลาง และสามารถมีพังผืดเกาะติดในชั้นหนังแท้
  • สาเหตุมาจากการอักเสบสิวที่ลึกและคนที่เป็นโรคอีสุกอีใส

3. ชนิด Rolling Scar:

  • หลุมสิวประเภท Rolling Scar เป็นหลุมตื้น มักเป็นแอ่งเว้าลงไปไม่ลึกมากนัก
  • มีความรุนแรงน้อย และสามารถรักษาได้ง่ายกว่าระดับอื่น ๆ
  • สิวชนิดนี้มักไม่กินลึกถึงชั้นรูขุมขนและคอลลาเจนในผิวหนังยังคงคงอยู่ไม่ถูกทำลาย

การรู้แนวทางการรักษาและการดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมสามารถช่วยลดการเกิดหลุมสิวและรอยแผลหลุมสิวในอนาคตได้ง่ายขึ้น

วิธีรักษาหลุมสิวโดยแพทย์

หลังจากสิวหายไป ไม่ว่าจะเป็นสิวหัวช้าง (Cyst) สิวอักเสบ (Pustule) หรือ สิวที่ติดเชื้อแบคทีเรียจนลุกลามไปทั่วชั้นใต้ผิว (Nodule) มักเหลือรอยต่าง ๆ บนผิวหนัง เช่น รอยด่างดำหรือหลุมสิว ระดับความรุนแรงของรอยนี้อาจแตกต่างกันไป เช่น Ice pick scar, Boxcar scar, หรือ Rolling scar ทั้งหมดนี้ควรพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา ประเมินความรุนแรงของรอยและวางแผนรักษาที่เหมาะสม ข้อดีคือการรับการรักษาที่ถูกต้องและเฉพาะเจาะจง ที่จะช่วยให้เห็นผลการรักษาที่ดีและเร็วมากยิ่งขึ้น

หลุมสิวมีหลายประเภท โดยมีความรุนแรงและระดับความยากง่ายในการรักษาที่แตกต่างกัน จึงทำให้วิธีการรักษาในแต่ละเคสมีความแตกต่างกัน โดยหากเลือกรักษาหลุมสิวโดยวิทยาการทางการแพทย์ มีวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. รักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์

การใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิวเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและมอบผลลัพธ์ที่ดีต่อการรักษาหลุมสิวในหลาย ๆ เคส เลเซอร์ที่ใช้ในการแก้ปัญหาหลุมสิวมีหลายชนิด โดยแพทย์จะเลือกชนิดที่เหมาะกับลักษณะของหลุมสิวในแต่ละบุคคล แต่ทั้งนี้การทำเลเซอร์หลุมสิวก็มีข้อควรระมัดระวังถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และควรเตรียมตัวให้พร้อมกับการฟื้นตัวหลังการรักษาด้วยการหมั่นทาครีมกันแดดเพื่อการปกป้องผิวจากแสงแดด เพราะการทำเลเซอร์อาจทำให้ผิวไวต่อแสงได้

2. ใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF)

การใช้คลื่นวิทยุ RF ในการรักษาหลุมสิวจะคล้ายกับการใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิว โดยการใช้คลื่นวิทยุจะปล่อยพลังงานความร้อนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นล่าง แต่ควรระมัดระวังถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผิวหน้าบวม แดง แต่ข้อดี คือ ระยะเวลาในการฟื้นตัวหลังการรักษาเมื่อเปรียบเทียบกับเลเซอร์ที่มีระยะเวลาฟื้นตัวสั้นกว่า

3. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี

การรักษาหลุมสิวด้วยวิธีกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Dermabrasion) เป็นการใช้เครื่องมือพิเศษที่มีเกล็ดอัญมณีขนาดเล็กในการกรอผิวหนังที่มีรอยแผลหรือหลุมสิว วิธีนี้มักนำมาใช้กับหลุมสิวชนิด Rolling scars หรือ Box scars โดยแพทย์ที่มีความชำนาญจะกรอผิวหนังที่เป็นแผลหรือหลุมสิวออก ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ผิวเดิม ทำให้รอยสิวลดลง รอยหลุมสิวลดขนาด และรอยแผลจากสิวลดเลือนลง การรักษานี้ยังช่วยลดการเกิดจุดด่างดำจากสิวบนใบหน้าและทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นได้อีกด้วย

4. ใช้กรดลอกผิว

เป็นการใช้เทคนิคการลอกผิวด้วยสารเคมีหรือ Chemical Peeling เป็นวิธีที่มีความประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิว วิธีนี้ทำโดยการใช้สารเคมีที่มีความเข็มข้นต่าง ๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอดออก ซึ่งสามารถช่วยให้รอบหลุมสิวตื้นขึ้นและลดความเข้มข้นของรอยแผลหรือหลุมสิวได้ สารเคมีที่ใช้แบ่งออกเป็นระดับความเข้มข้นต่าง ๆ คือ

  • ระดับชั้นหนังกำพร้า (Superficial Chemical Peeling) ใช้สารเคมี เช่น Glycolic acid, Lactic acid, Salicylic acid, Trichloroacetic acid (TCA) ในความเข็มข้นต่าง ๆ สารเหล่านี้ช่วยลอกผิวบนชั้นเบา ช่วยลดความเข้มข้นของรอยแผลและหลุมสิวชนิด Icepick scars และ Rolling scars โดยผิวจะดูเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ช่วยลดรอยแดงและรอยดำ ทำให้ผิวนุ่มและยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดการอุดตันของเคราตินในรูขุมขน เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภทตื้น ๆ
  • ระดับชั้นหนังแท้ชั้นตื้น (Intermediate Chemical Peeling) เป็นการใช้สาร Trichloroacetic acid (TCA) ช่วยลอกผิวชั้นกลาง มอบผลลัพธ์ที่ดีในการลดความเข้มข้นของรอยแผลและหลุมสิว
  • ระดับชั้นหนังแท้ชั้นลึก (Deep Chemical Peeling) เป็นการใช้สาร Phenol เพื่อลอกผิวลึก วิธีนี้มีผลสำคัญในการรักษาหลุมสิวแต่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดรอยดำและรอยแผล

5. ใช้ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอหรือกรดวิตามินเอ

การรักษาหลุมสิวด้วยการใช้ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น Retin A (เรตินเอ), Retinoid (เรตินอยด์), Retinol (เรตินอล) เป็นวิธีที่มีความประสิทธิภาพในการปรับโครงสร้างผิวชั้นบน (ผิวหนังชั้นเคราติน) เพื่อทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ลดความเข้มข้นของรอยแผลและหลุมสิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการอุดตันของเคราตินในรูขุมขน นอกจากนี้ ยังช่วยลดรอยแดงและรอยดำบนผิวหนัง การใช้ยาในกลุ่มนี้เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling scar ที่อยู่ในระดับที่ไม่ลึกมาก

ข้อควรระวังคือ อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้ง แสบ หน้าแดง ผิวลอก และเป็นไปได้ว่าผิวจะไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงต้องใช้ใต้ความดูแลของแพทย์ และควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาในกลุ่มนี้ควรป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างดี

6. การตัดพังผืด (Subcision)

การตัดพังผืดหลุมสิวหรือ subcision เป็นวิธีการใช้เข็มขนาดเล็กในการตัดเลาะพังผืดใต้ผิวหนัง เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิวหลายแห่งและกระจายไปทั่วผิวหนัง เช่น หลุมสิวชนิด rolling scar และ box car ที่มีขอบชัดและลึกขึ้น

กระบวนการนี้ช่วยให้รอบหลุมสิวตื้นขึ้น โดยการตัดเลาะพังผืดทำให้รอยแผลและหลุมสิวลดลง การใช้เข็มช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7. การผ่าตัด (Punch Excision)

การผ่าตัดหลุมสิวเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ ขั้นตอนของวิธีการนี้คือการใช้เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก ประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เพื่อตัดบริเวณหลุมสิวทิ้ง จากนั้นแพทย์จะดึงขอบ 2 ข้างที่เป็นผิวปกติมาเย็บติดกัน เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวชนิด Icepick scars และ Boxcar scars โดยขนาดขอบที่ต้องการตัดไม่ควรกว้างเกิน 3 มิลลิเมตร เพราะหากหลุมสิวใหญ่กว่านี้ อาจเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่ไม่สวยได้

ข้อดีคือ การผ่าตัดหลุมสิวเป็นวิธีการสร้างแผลใหม่ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและเป็นกระบวนการที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แต่ข้อควรระวังคือ หลังผ่าตัดต้องดูแลรอบแผลอย่างดีและในระยะเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากตัดไหมแล้ว รอยแผลจะเป็นเส้นตรง และใช้เวลาประมาณ 2 เดือนรอยแผลจะดีขึ้น อีกทั้งยังควรหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ห้ามให้แผลโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน และไม่ควรแต่งหน้าในบริเวณที่ทำการตัดไหมออก โดยเฉพาะในช่วงที่รอยแผลยังไม่หายดี

8. การฉีดสารเติมเต็มหรือฉีดฟิลลิ่ง (Filling Injection)

การฉีดฟิลลิ่งในหลุมสิวเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมในยุคปัจจุบัน เป็นวิธีที่ไม่ต้องรอนานก็สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถผสมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วและมีประสิทธิภาพ วิธีการ คือ การใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปในหลุมสิวเพื่อเติมเต็มและทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น

ข้อดีของการฉีดฟิลลิ่ง คือ การฉีดฟิลลิ่งยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น และเรียบเนียนขึ้น การรักษาไม่ต้องรอผลลัพธ์นานและไม่เกิดรอยแผล และไม่ต้องพักฟื้น ข้อควรระวัง คือ ต้องเลือกการรักษากับแพทย์ที่มีความชำนาญ โดยเฉพาะเมื่อมีปัญหาหลุมสิวที่มีพังผืด แพทย์จะต้องใช้เข็มเซาะพังผืดพร้อมกับการฉีดฟิลลิ่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและหลุมสิวดูตื้นขึ้นทันที

9. การฉีดวิตามินผิว

การวิตามินผิวเพื่อรักษาหลุมสิวหรือที่เรียกว่า "Acne Cocktail" เป็นกระบวนการที่ใช้วิตามิน (Skin Booster) ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมที่ช่วยลดรอยด่างดำบนใบหน้าและบำรุงผิวหนังด้วยคอลลาเจนและสารอาหารต่าง ๆ อาทิเช่น วิตามิน A, B, C, E, โคเอนไซม์, Transamin, และ Glutathione ซึ่งมีประโยชน์ในการกระชับรูขุมขน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับเซลล์ผิวใหม่ และช่วยฟื้นฟู แก้ไขสภาพผิวให้มีสุขภาพดีขึ้น

กระบวนการนี้เหมาะสำหรับรักษาหลุมสิวที่มีความรุนแรงไม่มาก หลังการทำมาเด้คอลลาเจนหลุมสิว ผิวจะช่วยให้ผิวเนียนเรียบ ชุ่มชื้น และฟื้นฟู ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น และสามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น

10. การฉีดเปปไทด์ (PDRN Therapy)

การฉีดเปปไทด์นับเป็นนวัตกรรม ที่ค่อนข้างใหม่หากเทียบกับกระบวนการอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้นโดย เปปไทด์จะมีส่วนผสมของ PN (Polynucleotide) บริสุทธิ์ เข้มข้น 2% สกัดจากชิ้นส่วน DNA Salmon ที่อยู่ในทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ DNA มนุษย์ 98 % มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิว เมื่อนำมาฉีดในชั้นหนังแท้โดยตรง จะช่วยให้ผิวแข็งแรง สามารถลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อการรักษารอยแผลเป็นต่างๆรวมถึงหลุมสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

11. การฉีดแอดวานส์โกรทแฟคเตอร์ (Advanced GF Therapy)

คือ การรักษาบนพื้นฐานของกระบวนการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของมนุษย์ เป็นสารที่ได้จากการนำเลือดของตัวเองมาปั่นแล้วฉีดกลับเข้าไป โดยผ่านกรรมวิธีการเฉพาะในการปั่นเพื่อแยกชั้นของพลาสมา (Plasma) ซึ่งมีลักษณะเป็นสีเหลืองใสออกมา โดยในพลาสมาประกอบด้วยเกล็ดเลือด ซึ่งแพทย์จะสกัดเอาเกล็ดเลือดจากชั้นนี้ซึ่งมีความเข้มข้นสูงมาใช้ เพราะในเกล็ดเลือดประกอบด้วยสารต่างๆ ที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด รวมไปถึงสารกระตุ้นการเจริญเติบโต (Growth Factor) ซึ่งเป็นกลุ่มโปรตีนประเภทหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต มีหน้าที่ไปกระตุ้นให้เซลล์มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้เซลล์เหล่านั้นมีการเพิ่มจำนวนและซ่อมแซมตัวเองเกิดขึ้นนั่นเอง

โดยเกล็ดเลือดถือเป็นปัจจัยสำคัญในกลไกการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ โดยมี Growth Factor ที่จำเป็น เช่น FGF, PDGF, TGF-ß, EGF, VEGF, IGF ซึ่งมีบทบาทในการกระตุ้น Stem cell ให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ นอกจากนี้ เกล็ดเลือดยังกระตุ้นการทำงานของ Fibroblasts (เซลล์สร้างคอลลาเจน) และ Endothelial cell (เซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือด) จึงเป็นที่นิยมในการนำมาใช้เป็นหนึ่งใน skin booster เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิว อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการนำมารักษาบริเวณแผลเป็นและหลุมสิวอีกด้วย

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีหลุมสิว

เมื่อประสบกับปัญหารอยหลุมสิว แนะนำให้ใช้วิธีการรักษาทางการแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมอบผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ดังนี้

  • รักษาความสะอาดผิวหนังอย่างดีโดยล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะในเวลาเช้าและก่อนนอน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประเภทผิว และไม่ทำให้ผิวแห้งหรือมันเกินไป งดการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง
  • งดสัมผัสแผลหรือรอยแดงจากสิว เช่น การบีบ แกะ หรือเอามือไปจับสิวเพื่อป้องกันการอักเสบเพิ่มเติม ดูแลผิวหนังอย่างอ่อนโยน
  • เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือน้ำมัน และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่หนักหน้า
  • หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละออง ควัน และสิ่งสกปรกที่อาจส่งผลให้ผิวเกิดการอุดคันจากสิ่งสกปรก
  • รับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะกับความรุนแรงของรอยหลุมสิวของคุณ

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณรักษาและดูแลผิวให้มีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงในการเกิดรอยหลุมสิวและปัญหาผิวอื่น ๆ ได้

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวซ้ำ ๆ

การป้องกันการเกิดรอยหลุมสิวเป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถปฏิบัติตามได้เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยหลุมสิว เช่น

  • หลีกเลี่ยงการแกะ บีบ หรือขัดถูสิวอย่างแรง การกระทำเหล่านี้อาจทำให้สิวแตกหรือติดเชื้อมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยหลุมสิว
  • เมื่อสิวเริ่มแห้งและหาย อย่าแกะสะเก็ดออก เพราะการแกะสะเก็ดอาจทำให้แผลหายช้าลงและเสี่ยงให้เกิดรอยหลุมสิว
  • หากมีสิวเยอะหรือเป็นสิวเม็ดใหญ่ที่กระจายกว้างบนใบหน้า ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาและป้องกันการเกิดรอยหลุมสิวในอนาคต

การรักษาสิวอย่างถูกต้องและเร็วรับเวลาสำคัญในการป้องกันการเกิดรอยหลุมสิว ควรรีบปรึกษาแพทย์หากมีปัญหาเกี่ยวกับสิว และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อปกป้องผิวหนังของคุณอย่างเหมาะสม

รักษาหลุมสิวที่ไหนดี?

การรักษาหลุมสิวมีความสำคัญในการควบคุมและป้องกันการเกิดรอยหลุมสิว การเลือกสถานที่หรือคลินิกรักษาหลุมสิวที่ให้บริการอย่างดีถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยปัจจัยที่ใช้ในการเลือกใช้บริการรักษาหลุมสิว มีดังนี้

  • ค้นหาคลินิกที่มีมาตรฐานและความเชื่อถือ คลินิกที่เหมาะสมควรมีใบอนุญาตและป้ายชื่อสถานพยาบาลที่แสดงใบอนุญาตอย่างชัดเจน โดยควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกมีความสะอาดและอยู่ในสภาพดี ทั้งยังควรมีพื้นที่หัตถการกว้างขวางและเครื่องมือการรักษาที่มีมาตรฐาน
  • มาตรฐานของบริการ คลินิกควรมีมาตรฐานสูงในการให้บริการ รวมถึงความนิยมของวิธีการรักษาที่วางแผนอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพของผิวหนังของแต่ละเคส

‍การเลือกคลินิกที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การรักษาหลุมสิวมีผลลัพธ์ที่ดีโดยไม่เสี่ยงเพิ่ม หากเลือกใช้บริการคลินิกที่ไม่มีมาตรฐาน อาจก่อให้เกิดปัญหาผิวอักเสบและอาจลุกลามจนเป็นปัญหาที่แก้ได้ยาก

ที่คลินิก Skinserity ให้บริการอย่างมีมาตรฐาน พร้อมด้วยแพทย์ที่มากไปด้วยประสบการเฉพาะด้าน มีบริการให้เลือกหลากหลายพร้อมรีวิวเคสการใช้บริการจริงที่สามารถหาอ่านได้ก่อนเลือกใช้บริการ

FAQ การรักษาหลุมสิว

หลุมสิวสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่สามารถรักษาหลุมสิวให้หายขาดได้อย่างถาวร การรักษาหลุมสิวจึงเน้นไปที่การปรับผิวให้ดูเรียบเนียนเสียมากกว่า นอกจากนี้ การรักษาหลุมสิวยังเน้นไปที่การทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น ดูเต็มขึ้น โดยอาจจำเป็นต้องใช้หลายวิธีประกอบกันเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ

หลุมสิว รักษาเองได้ไหม?

หลุมสิว สามารถรักษาเองได้ในกรณีที่เป็นหลุมสิวตื้น ๆ ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว อย่าง AHA หรือ BHA เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่ไม่เรียบเนียนสม่ำเสมอออก แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาและใช้ในปริมาณที่เหมาะสมที่ไม่ทำให้ผิวเกิดอาการอักเสบ ระคายเคือง

หน้าเป็นหลุมสิวค่อนข้างมาก รักษาอย่างไร?

หากมีปัญหาหลุมสิวค่อนข้างเยอะและอาการหนัก แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อใช้วิทยาการทางการแพทย์เข้ามาช่วย แพทย์จะให้คำแนะนำพร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับหลุมสิวในแต่ละเคส นอกจากนี้ การรักษายังอาจมีการทำเลเซอร์ควบคู่ไปกับการฉีดฟิลลิ่ง การทายา และการทานยา เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่

ทำไมสิวทำให้เกิดเป็นหลุมสิว?

การเกิดกลุมสิวหรือการที่เนื้อหายไปจนเป็นหลุมสิวหลังเป็นสิวเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ 

  • ลักษณะสิว เช่น เป็นสิวเม็ดใหญ่ สิวหัวช้าง ที่เมื่อเกิดการอักเสบจะทำให้เกิดเป็นโพรงหนองใต้ชั้นผิวหนัง และการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์จนทำให้เกิดการยุบตัวของผิว กลายเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมสิวนั่นเอง
  • การรักษาที่ไม่ถูกวิธี ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังเกิดการอักเสบและสมานแผลได้ไม่ทัน เกิดเป็นแผลบุ๋มลงไปในชั้นผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นหลุมสิวนั่นเอง

หลุมสิวมักเกิดจากสิวอักเสบและการเกิดความเสียหายภายใต้ชั้นผิวหนัง เช่น การบีบหรือกดสิวอย่างแรง ดังนั้น จึงควรรักษาสิวอย่างระมัดระวังเพื่อลดโอกาสการเกิดหลุมสิว

สำหรับผู้ที่เผชิญกับปัญหาหลุมสิวอยู่แล้ว หากต้องการให้ผิวหน้าดูดีขึ้นและลดรอยหลุมสิว แนะนำว่าควรพิจารณาปรึกษาแพทย์ในการรักษาหลุมสิว แพทย์จะประเมินระดับความรุนแรงของปัญหาและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี

Plan your treatment with us today